อย่าเห็นแก่ของถูก! ยางรถตกเกรดย้อมแมว พร้อมวิธีเช็คยางมาตรฐาน

25 สิงหาคม ค.ศ. 2023 โดย
Administrator 2

อย่าเห็นแก่ของถูก! ยางรถตกเกรดย้อมแมว พร้อมวิธีเช็คยางมาตรฐาน

          แจ้งเตือนผู้ใช้รถที่กำลังมีแพลนเปลี่ยนยางรถยนต์เร็ว ๆ นี้นะครับ ว่าตอนนี้มีการระบาดของยางรถยนต์ที่ไม่ได้มาตรฐานอุตสาหกรรม ผลิตและจำหน่ายอยู่ในท้องตลาด โดยเพิ่งมีการตรวจสอบและเอาผิดการลักลอบทำยางรถยนต์ที่ไม่ได้มาตรฐานในจังหวัดชลบุรี พบว่ามีการนำยางรถยนต์ตกเกรดมาดัดแปลง ลบยี่ห้อเดิม และประทับตราเป็นยี่ห้อ Thaistone หรือ ไทยสโตน สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ.ได้ตรวจสอบโกดังดังกล่าว และได้เอาผิดแก่ผู้ประกอบการ อายัดยางที่ตรวจพบ กว่า 12,971 เส้น มูลค่ารวม 90,797,000 บาท และออกเตือนประชาชนให้ระมัดระวังในการซื้อยางรถยนต์ ต้องไม่ซื้อยางที่ปั๊มตรายี่ห้อ Thaistone มาใช้หรือหากมีการซื้อไปใช้แล้วก็ควรหยุดใช้งาน และเปลี่ยนมาใช้ยางที่ได้มาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้ขับขี่เอง 



          สำหรับมือโปรที่ดูแลรถอยู่แล้วอาจจะคุ้นชินกับยี่ห้อยางรถยนต์หรือทราบแนวทางการเช็คหรือเลือกยางที่ได้มาตรฐาน แต่มือใหม่หรือใครที่เพิ่งเข้ารอบการเปลี่ยนยางครั้งแรกแล้วละก็ ‘นินนิน’ ได้เตรียมวิธีการเช็คยางที่ได้มาตรฐานมาแบ่งปันไว้เป็นเช็คลิสต์ให้เตรียมตัวก่อนรับบริการเปลี่ยนหรือเลือกซื้อยางรถยนต์นะครับ
และนี่คือวิธีการเลือกยางที่ได้มาตรฐาน เพิ่มความมั่นใจและความปลอดภัยแก่ผู้ขับขี่

1. เลือกยางให้เหมาะกับรถและการขับขี่ ยางรถยนต์ถูกออกแบบมาสำหรับการขับขี่ที่หลากหลาย เช่น การขับขี่ทั่วไปสำหรับการใช้งานส่วนบุคคล, การใช้งานเชิงพาณิชย์ เช่น ขนส่งสินค้า หรือยางชนิดพิเศษ หรือสำหรับการขับในเส้นทางขรุขระสูง หรือเส้นทางวิบาก ฉะนั้น เจ้าของรถต้องทราบอัตราการรับน้ำหนักและรหัสความเร็วของยางแต่ละยี่ห้อก่อนตัดสินใจเลือกใช้งาน 

อัตราการรับน้ำหนัก หรือ ดัชนีการบรรทุก จะระบุไว้ที่แก้มยางรถยนต์ โดยที่ยางแต่ละยี่ห้อ ต่างรุ่น จะมีดัชนีการรับน้ำหนักที่ต่างกัน หากไม่แน่ใจ หรือไม่พบเลขดัชนี สามารถสอบถามได้จากผู้ผลิต หรือผู้ให้บริการเปลี่ยนยาง แต่โดยปกติที่บริเวณล้อยางอาจมีการระบุไว้ทั้งรูปแบบดัชนี หรือน้ำหนักสูงสุดที่รับได้ (หน่วยกิโลกรัม) โดยดัชนีรับน้ำหนักอยู่ระหว่าง 69-110 ซึ่งจะรับน้ำหนักสูงสุดต่อล้อตั้งแต่ 325-1,060 กิโลกรัม

2. ขนาดของยาง รถแต่ละคันจะมีให้ข้อมูลของสเปคยางเอาไว้อยู่แล้วครับ โดยสามารถดูได้จากคู่มือรถที่ได้มาตั้งแต่แรกซื้อรถเลย นอกจากนั้นยังมีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับยางอื่น ๆ ด้วย เช่น แรงดันของลมยาง น้ำหนักของยางที่เหมาะกับรถ โดยปกติแล้วขนาดของล้อรถยนต์ที่นิยมใช้งาน คือ

- รถยนต์ขนาดเล็ก ไม่เกิน 1,500 cc ควรใช้ขนาดยาง 185/60 R15 หรือ 195/55 R15
- รถยนต์ขนาดกลาง ไม่เกิน 2,000 cc ควรใช้ขนาดยาง 215/50 R17
- รถกระบะ ดีเซล 2.5-3.0 ลิตร ควรใช้ขนาดยาง 215/65 R16 หรือ 265/60 R18
วิธีการอ่านค่าตัวเลขบนยางรถ ตัวอย่าง เช่น P215/50 R17
- P หมายถึง ยางที่ใช้กับรถยนต์นั่ง (อาจพบ ตัวอักษร LT หมายถึงยางสำหรับรถปิคอัพ หรือ T หมายถึงยางอะไหล่)
- เลข 215 หมายถึง ยางที่มีความกว้างจากแก้มยางด้านหนึ่งไปสู่อีกด้านที่ 215 มิลลิเมตร
- /50 หมายถึง อัตราส่วนของขนาดล้อ (ระหว่างความสูงกับความกว้างของยาง) หากอัตราส่วนของยางเท่ากับ 50 หมายความว่ายางสูงเป็น 50% ของความกว้าง 
- ตัว R หมายถึง โครงสร้างยางแบบเรเดียล
- เลข 17 หมายถึง เส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ (นิ้ว)



3. ลักษณะ-ความลึกของยาง ผิวของดอกยางและความลึกของยางมีความสำคัญอย่างยิ่งในการขับขี่ให้เหมาะกับพื้นถนนและส่งเสริมให้การขับขี่นั้นปลอดภัย เช่น การขับขี่บนถนนปกติจะนิยมดอกยางขนาดเล็ก เรียบ และละเอียด ทำให้ขับขี่เกาะติดพื้นถนน เรียบ และนุ่มขณะขับขี่ สามารถทำความเร็วได้เพราะมีการยึดเกาะที่ดี

หากต้องการขับในพื้นที่ที่มีดิน โคลน ในเส้นทางขรุขระ ควรเลือกดอกยางขนาดใหญ่ ที่มีร่องยางลึกกว่าปกติ ทำให้สามารถตะกุยดินต่าง ๆ ได้ดี แต่มีข้อเสียเมื่อขับบนถนนปกติจะส่งเสียงดัง แข็ง และการการยึดเกาะกับพื้นถนนไม่ดี ไม่สามารถทำความเร็วได้

4. ยี่ห้อยางที่ได้มาตรฐาน เลือกยางรถยนต์ที่ได้มาตรฐาน สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. หรือยางที่มีชื่อเสียงในตลาด อาทิ Michelin, Bridgestone, Yokohama, Dunlop, Goodyear ฯลฯ

5. ปีการผลิตยาง มีผลต่อการดูว่ายางเส้นนั้นอายุเท่าไหร่ หรือถูกผลิตมานานแค่ไหน เพราะยิ่งยางมีอายุนานก็อาจจะมีผลให้ยางเสื่อมคุณภาพลง หรืออาจคาดเดาว่ายางเส้นนั้นมีแนวโน้มผ่านการใช้งานมาแล้ว โดยสามารถดูได้บริเวณแก้มยางโดยเป็นตัวเลขมาตรฐานสากล 4 ตัว คือสัปดาห์ (1 ปีมี 52 สัปดาห์) และปีที่ผลิต (WWYY) หากมีการเก็บรักษายางที่ดี ยางทั่วไปเมื่อออกมาจากโรงงานแล้วจะมีอายุเก็บอยู่ที่ 2-4 ปี 



รู้หรือไม่ ยางรถยนต์มีอายุการใช้งานโดยเฉลี่ย 2-4 ปี หรือการใช้งาน 40,000-50,000 กิโลเมตร แต่หากมีการขับขี่บ่อย ระยะทางไกล บรรทุกของหนัก อายุการใช้งานจะน้อยกว่าการขับขี่ทั่วไป จึงควรมีการตรวจสอบคุณภาพยาง ลมยางก่อนขับขี่ทุกครั้ง 

          นอกเหนือจากรายละเอียดเบื้องต้นด้านบน อาจสังเกตดูด้วยตาเปล่าว่ายางมีรอยฉีกขาดหรือไม่ มีร่องรอยการใช้งานหรือการสึกหรอของดอกยางหรือเปล่า มีรอยการประทับแทนที่ยี่ห้อ หรือปกปิดข้อมูลสำคัญของยางหรือไม่ หรือเลือกใช้บริการศูนย์บริการที่ไว้วางใจได้ครับ ขับขี่ปลอดภัยและอุ่นใจแบบคูณสอง เมื่อรองรับความเสี่ยงในการขับขี่ด้วยประกันภัยรถยนต์ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านประกันภัยรถยนต์ของ TT Insurance Broker ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายที่ช่องทางการติดต่อ Facebook page: TT Insurance Broker, Line official @TTIB หรือ หมายเลขโทรศัพท์ 02-248-4848 วันจันทร์-ศุกร์ในเวลาทำการ 08.30-17.00 น.


แชร์โพสต์นี้

To install this Web App in your iPhone/iPad press and then Add to Home Screen.

Added to cart