รวมมิตรประเทศน่าเที่ยว ‘NO VISA’ ฉลองคริสต์มาส-ปีใหม่ แบบ WHITE WINTER

          เวลาผ่านไปไวมาก ๆ เผลอแปปเดียวก็ใกล้เข้าสู่ช่วงเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองปลายปีอีกครั้งแล้วครับ ทั้งคริสต์มาสและปีใหม่ที่ถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขกับครอบครัว คนรัก หรือเดอะแก๊งคนสนิท แน่นอนว่าเป็นช่วงที่หลายคนถือโอกาสแท็กทีมกันจองตั๋วออกเดินทางเพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศดี ๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศเพื่อท่องเที่ยวท้ายปีและเคาท์ดาวน์สู่ปี 2024 กัน สกู๊ป ‘นินนินพากินพาเที่ยว’ จึงไม่รอช้ามาป้ายยาประเทศน่าเที่ยวฉลองวันหยุดยาวนี้ด้วยประเทศที่ชาวไทยเราไม่ต้องขอวีซ่า จะมีที่ไหนที่จะกลายมาเป็นประเทศปลายทางกันบ้าง ห้ามพลาดติดตาม

          เดินทางครั้งใด มีประกันเดินทางไว้อุ่นใจกว่าเยอะ หายห่วงหากเจ็บป่วยต้องรับการรักษาตัวที่ต่างประเทศโดยไม่ต้องสำรองจ่าย เหตุฉุกเฉิน กระเป๋าหาย ไฟลท์ดีเลย์เอาอยู่ด้วยประกันเดินทางต่างประเทศจาก MSIG พาร์ทเนอร์ของ TTIB ซื้อที่ลิ้งค์นี้รับส่วนลดเพิ่ม https://www.ttib.co.th/travel-insurance 

          1. ประเทศชิลี เป็นอีกประเทศที่มีความน่าสนใจและเหล่านักเดินทางควรไปเยือนให้ได้สักครั้งในชีวิต เพราะว่าชิลีเป็นภูมิประเทศที่มีความหลากหลายในตัวเองสูงมาก ภูเขา ทะเล ธารน้ำแข็ง ป่าและสัตว์ป่า เรียกว่าเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจแน่นอน พูดถึงชิลี นัมเบอร์วันของสิ่งมหัศจรรย์คงไม่พ้นรูปปั้นโมอายขนาดยักษ์ บนเกาะอีสเตอร์ (ที่แม้จะอยู่ห่างออกไปจากชิลีประมาณ 3,700 กิโลเมตรก็ตาม) ที่นี่มีฉายาว่าสะดือของโลก เพราะมีรูปทรงเกาะเป็นสามเหลี่ยมตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 600 เมตร เกาะแห่งนี้เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ถูกประดับไปด้วยรูปปั้นโมอาย รูปปั้นขนาดใหญ่หนักกว่า 10 ตันกว่า 600 ตัว ทั่วเกาะ คาดว่าสร้างขึ้นมาโดยชาวโพลีนีเชียนที่เคยอยู่บนเกาะนี้พันกว่าปีก่อน ต่อมามีการขุดลงไปพบว่าบางหัวโมอายมีลำตัวที่แกะสลักสัญลักษณ์ต่าง ๆ เอาไว้ด้วย ใครที่อยากไปทำคอนเท้นต์พร้อมกับเส้นทางที่มีเรื่องราวมากมาย ที่นี่ตอบโจทย์แน่นอน นอกจากชื่นชมความยิ่งใหญ่ของรูปปั้นแล้ว ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ อาทิ ดำน้ำตื้น เล่นเสิร์ฟ เที่ยวชมภูเขาไฟ (ดับแล้ว) ปั่นจักรยานรอบเกาะ ส่วนชื่อของเกาะอีสเตอร์ถูกตั้งขึ้นเนื่องจากการค้นพบเกาะนี้อีกครั้งในวันอีสเตอร์ ปี ค.ศ. 1722 นั่นเอง

          ส่วนสถานที่น่าตื่นตาตื่นใจอื่น ๆ เช่น อุทยานแห่งชาติ ตอร์เรส เดล ไปย์ เน อุทยานแห่งชาติที่มีทะเลสาปสวยแปลกตา และมีเทือกเขาแกรนิตตั้งเป็นใจกลางอุทยาน สามารถเดินป่าและปีนเขาได้อย่างจุใจ, นั่งเรือสำรวจถ้ำหินอ่อน ในทะเลสาบเจเนอรอล คาร์เรรา ที่เกิดมาจากการกัดเซาะและแรงกระทบจากคลื่นของน้ำทะเลจนกลายเป็นประติมากรรมทางธรรมชาติที่สวยงาม แต่ต้องลอดช่องแคบผ่านเข้าไปลอดชม เท่านั้น สำหรับชิลีสามารถพำนักอยู่ได้ 90 วันครับ

          2. ประเทศจอร์เจีย ถัดมาที่ประเทศสุดขอบเอเชียที่มีหลายเสียงการันตีว่าไปแล้วคุ้มค่า แถมตอนนี้ยังฟรีวีซ่า 365 วันกันไปเลย ยิ่งปลายปีแบบนี้อากาศหนาวเย็นและใบไม้เปลี่ยนสีน่าไปเยือนสุด ๆ โดยจอร์เจียจะเน้นไปที่แหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ เช่น การเดินป่า ล่องแก่ง เล่นสกี ฯลฯ ป้ายยาสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของจอร์เจีย เช่น หมู่บ้านจูทา ที่ตั้งอยู่กลางหุบเขาคอเคซัส วิวทุ่งหญ้าเขียวขจี แต่มีฉากหลังเป็นเขาสูงใหญ่ที่มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี และมีลำธารตัดผ่าน ความใกล้ชิดธรรมชาติที่สวยงามเหมือนภาพวาดทำให้นักท่องเที่ยวอวยกันว่าที่นี่สวยเทียบกับสวิสเซอร์แลนด์เลยทีเดียว สามารถดื่มด่ำบรรยากาศได้อย่างเต็มที่ด้วยการนอนพักแบบกางเต้นท์และตื่นเช้าขึ้นมามองวิวหลักล้าน

          แต่ใครสายประวัติศาสตร์และเก็บเกี่ยวแต้มเมืองที่ได้รับการรับรองจากยูเนสโกแล้วละก็ แนะนำให้ไปเยือน เมืองโบราณอุพลิสชิเค (Uplistsikhe) ที่สร้างขึ้นด้วยการขุดเจาะหินผาของคนยุคก่อน ที่คาดกว่าก่อนคริสต์ศักราชนับ 1,000 ปี ซึ่งเป็นเมืองขนาดใหญ่ทีเดียว นับเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางด้านการปกครองและศาสนาของจอร์เจีย และคาดว่าเคยมีผู้คนอยู่อาศัยกว่า 20,000 คน วิวทิวทัศน์ของเมืองโบราณโดยรอบ มีธรรมชาติรายล้อมทั้งภูเขา ลำธาร ซึ่งเมืองแห่งนี้ห่างจากเมืองหลวงไม่ไกลนัก เพียง 100 กิโลเท่านั้น 

          ใครอยากอิ่มกับความศักดิ์สิทธิ์รับคริสต์มาส ต้องห้ามพลาดมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ทบิลิซี (คริสต์จักรในนิกายออร์โธดอกซ์) ที่นี่เป็นโบสถ์ที่สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก แม้จะไม่ได้เก่าแก่มาก เพราะก่อสร้างในปี ค.ศ. 1995 แต่ที่นี่เต็มไปด้วยความศรัทธาของศาสนิกชนที่ร่วมสนับสนุนเงินบริจาคสร้างวิหารโดมทองแห่งนี้ สามารถเข้าเยี่ยมชมได้ทุกวัน แต่มีความเคร่งครัดในการเข้าเยี่ยมชม เช่น ผู้หญิงต้องคลุมศีรษะเพื่อเข้าชมตัววิหารด้านใน

          3. ประเทศคาซัคสถาน เป็นอีกหนึ่งประเทศฟรีวีซ่าสำหรับชาวไทย สามารถพำนักได้เต็มที่ 30 วัน ที่นำเสนอที่นี่เพื่อฉลองปลายปีเช่นนี้ เหตุผลใหญ่ ๆ เลยเพราะว่าประเทศมันจึ้งใจ อากาศเย็นสบาย ได้ไวบ์ดี ๆ กลับมาแน่นอน และที่สำคัญผู้คนที่นี่น่ารัก ค่าครองชีพไม่แพง ฟ้าเปิดขนาดนี้ไปดูเลยว่าคาซัคสถานมีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรรออยู่บ้าง ที่แรกขอนำเสนอเมืองอัลมาตี หรือ Almaty (เมืองหลวงเก่า) ที่ถือว่าเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของคาซัคสถาน เป็นทั้งเมืองที่เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมที่ใหญ่ที่สุด สามารถเดินท่องเมืองชมสถาปัตยกรรมที่สวยงาม และศิลปะยุคสหภาพโซเวียต ชมหอศิลปะ หรือพิพิธภัณฑ์ได้อย่างเต็มที่ อาทิ Central State Museum of Kazakhstan, The Museum of Arts of the Republic of Kazakhstan

          ที่ต่อมาขอเอาใจคนที่อยากรับความหนาวเย็นด้วยการเล่นสกีรับหน้าหนาว ณ แชมบูลุค สกี รีสอร์ต (Shymbulak Ski Resort) ที่นี่ตั้งอยู่บนเทือกเขาเทียนซาน ห่างจากเมืองอัลมาตี เพียง 40 นาทีเท่านั้น แล้วนั่งกระเช้าขึ้นไปเพื่อเล่นสกี โดยมีให้เลือกเล่นได้ 3 เลเวลครับ บรรยากาศโดยรอบมีต้นไม้นานาชนิดให้ชมวิว รวมทั้งมีบริการโรงแรม ร้านอาหาร บาร์ คาเฟ่ครบเครื่อง

          นอกจากนั้นยังมีทะเลสาบที่ไม่ควรพลาด อย่าง โคลเซเลค (Kolsay Lake) ไฮไลต์คือชมความงามของน้ำสีเขียวมรกตที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้หลากสีริมทะเลสาบและภูเขาที่ทอดเงาอลังการสะท้อนบนผิวน้ำ หากไปช่วงหน้าหนาว ทะเลสาบก็อาจจะกลายเป็นน้ำแข็งนะ และต้องบอกว่าอากาศตั้งแต่ธันวาคมไปจนถึงกุมภาพันธ์นั้นเป็นฤดูหนาวที่อูณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 20 องศาเซลเซียส ท้องฟ้าปรอดโปร่งสดใส (อาจมีอากาศแปรปรวน หนาวจัด แห้ง ร่วมด้วย) อย่าลืมทำการบ้านก่อนบินนะครับ จะได้พกเสื้อผ้าไปอย่างเหมาะสม

          4. ประเทศอาร์เจนตินา ถ้าไม่ติดเรื่องเดินทางไกล อยากชวนไปประเทศที่มีที่สุดของโลกอีกแล้ว มาอาร์เจนตินาต้องเยือนน้ำตาที่ยิ่งใหญ่และว่ากันว่าสวยที่สุดในโลก อย่างน้ำตกอีกวาซู ที่สูงกว่า 269 ฟุต และยาว 4 กิโลเมตร ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ และเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวให้เยี่ยมชมความอลังได้ที่จุดชมวิว และการล่องเรือไปใกล้ ๆ น้ำตกชมความยิ่งใหญ่และไอน้ำที่กระเซ็น แล้วไหน ๆ ขึ้นไปทางเหนือ ต้องห้ามพลาดไปเยือนเทือกเขาแอนดีส ด้วยการนั่งรถไฟ Tren de las Nubes หรือ Train to the cloud ขบวนรถไฟทยานสู่เมฆ เส้นทางค่อนข้างคดเคี้ยว อยู่สูงกว่าพื้นดินชนิดที่มองลงมาแล้วใจสั่น และนับเป็นทางรถไฟที่สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก เส้นทางนี้จะมีจุดให้ได้แวะซื้อของฝากชาวเมือง และถ่ายรูปทิวทัศน์ที่สวยงามกลับมาได้ครับ หรือใครอยากสัมผัสประสบการณ์กับธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ไม่ต้องไปถึงขั้วโลก ที่อาร์เจนตินามีให้ชมกันที่ ธารน้ำแข็งเปริโต โมเรโน ที่ทอดตัวใหญ่ รวมธารน้ำแข็งน้อยใหญ่นับ 300 สาย สูงกว่า 180 เมตร รูปร่างและสีตื่นตาตื่นใจเหมือนระลอกคลื่นที่ถูกแกะสลักอย่างงดงาม ถือเป็นแหล่งน้ำจืดที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก แน่นอนว่าที่นี่เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติที่ยูเนสโกรับรองแล้ว ใครอยากได้ภาพหนาว ๆ รับคริสต์มาส ต้องที่นี่เลย

          แต่ถ้าใครชอบบรรยากาศในเมืองหลวง อยากเอนจอยแสงสี ต้องที่นี่ บัวโนสไอเรส เมืองหลวงของอาร์เจนตินาที่ถือว่าเป็นเมืองแห่งเสียงดนตรี การเต้นรำ และสถานบันเทิง ตึกรามบ้านช่องในเมืองเป็นสไตล์ยุโรปผสมผสานกับลาตินอเมริกา เดินเล่น ๆ ก็ได้ฟีลเหมือนอยู่ยุโรป เพราะว่าที่นี่มีฉายาว่าปารีสแห่งอเมริกาใต้เลยเชียวครับ ช่วงปลายปีระหว่างพฤศจิกายนถึงมีนาคมถือว่าเป็นฤดูร้อนของอาร์เจนตินา แต่ไม่ต้องห่วงเพราะว่าในเมืองหลวงอุณหภูมิเฉลี่ย ๆ อยู่ที่ 18-20 องศา กลางวันก็ยาวนานกว่าช่วงฤดูอื่น ทำให้การท่องเที่ยวมีเวลาเพิ่มขึ้นไปอีก คนไทยสามารถพำนักได้ 90 วัน

          5. ประเทศญี่ปุ่น ปิดท้ายที่ประเทศ No.1 ขวัญใจชาวไทย ที่ไปช่วงไหนก็ประทับใจไม่มีเว้น ปลายปีที่ญี่ปุ่นเป็นช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสีต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และช่วงกลางเดือนธันวาคมเป็นต้นไป อากาศก็หนาวเย็น เมืองต่าง ๆ เริ่มตกแต่งสถานที่ต้อนรับเทศกาลคริสต์มาส หลายที่มีจัดเทศกาลไฟแบบจัดเต็มสร้างบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง จุดดัง ๆ ที่สามารถไปเยือนดื่มด่ำบรรยากาศเทศกาลไฟ อาจไปที่ Sendai Pageant of Starlight เมืองเซนได ที่ถนนโจเซนจิโดริ ซึ่งจะมีทั้งจัดไฟกว่า 6 แสนดวงประดับต้นไม้จนถนนทั้งสายเป็นสีทอง นอกจากนี้ยังมีการแสดงคอนเสิร์ต ลานสเก็ตน้ำแข็ง และสตรีทฟู้ดให้จอยกัน และขอป้ายยางานไฟที่ใหญ่บึ้ม ๆ ที่จังหวัดนาคางาวะ กับปีนี้ที่มีการประดับป่าและเนินเขาในธีม Doraemon the Movie : Nobita’s Chikyu Symphony Illumination ด้วยไฟกว่า 6 ล้านดวง โดยมีไฮไลต์สำคัญเป็นกระเช้าห้อยขาระยะทาง 250 เมตรประดับไฟสายรุ้งสดใส สถานที่พร้อมแบบนี้ คอนเท้นต์ต้องมาแล้ว

          ส่วนสายสวนสนุก Tokyo Disneyland ก็เป็นจุดที่นิยมไปเคาท์ดาวน์มากที่สุด เพราะว่าจะมีการจัดเฉลิมฉลองเคาท์ดาวน์ตั้งแต่คืนสิ้นปีไปจนเช้าวันปีใหม่ มีการแสดงดอกไม้ไฟและโชว์สุดอลังการเฉพาะช่วงเวลาพิเศษแบบนี้ นอกจากนั้นยังมีของที่ระลึกลวดลายพิเศษ ลิมิเต็ดมาจัดจำหน่ายด้วย แต่เรื่องที่ยากที่สุดคือตั๋วที่มีจำหน่ายอย่างจำกัดนั่นเอง ส่วนสายช้อปปิ้ง ต้องห้ามพลาดถุงโชคดีกับสินค้าลดราคาจัดเต็มที่มาวางจำหน่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่ บริเวณย่านการค้าต่าง ๆ แต่ต้องเช็คดี ๆ ก่อนไปนะ เพราะบางแห่งอาจจะปิดหรือเงียบเหงาในช่วงปีใหม่ได้เช่นกัน และปิดท้าย ใครอยากสัมผัสวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่นช่วงปีใหม่ แนะนำว่าไปวัดขอพรจะพบกับประชากรชาวญี่ปุ่นที่นิยมมาไหว้ขอพรข้ามปีกัน สำหรับญี่ปุ่น เราสามารถพำนักได้ไม่เกิน 15 วันครับ

                                    (ขอบคุณภาพจาก Tokyo Disneysea)

          หวังว่าจะพอเป็นไอเดียให้กับเหล่านักเดินทางได้ตัดสินใจเพิ่มเติมกันได้บ้าง ใครที่ยังไม่มีแพลนหรือยังไม่ได้จองตั๋วอาจจะต้องเร่งมือแล้วครับ เหลือเวลาอีกไม่นานก็เข้าสู่ช่วงเวลาวันหยุดเฉลิมฉลองกันแล้ว อย่างไรก็ตามหากเลือกเดินทางไปประเทศที่ไม่ต้องใช้วีซ่า ก็หายห่วงไปได้อีกเปราะ เพราะไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องรอว่าวีซ่าจะผ่านหรือเปล่า อย่าลืม ก่อนเดินทางพกประกันเดินทางต่างประเทศไปด้วย คุ้มครองคุณตลอดทริปให้เที่ยวสบายใจ ไม่ต้องกังวลเมื่อเจ็บป่วยหรือเกิดเหตุฉุกเฉิน ดูรายละเอียดประกันภัย คลิก